5 ความจริงอันโหดร้ายของชีวิตที่ยังไงคุณก็ต้องเจอเข้าสักวัน
จะว่าไปแล้ว ชีวิตของเรานั้นมักมีเรื่องเล่าที่คอยสร้างแรงบันดาลใจให้รู้สึกดีอยู่บ่อยๆ บ้างก็มีหนังหรือละครที่คอยกระตุ้นให้เรามองโลกในแง่ดีอยู่เรื่อยๆ ประเภทชีวิตยังไม่สิ้นหวัง อนาคตยังมี ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตคนเราก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรือดูบังเอิญแฮปปี้เอนดิ้งแบบในเรื่องราวที่เราคุ้นเคยกันเสียสักเท่าไร และมีหลายๆ อย่างที่เราล้วนไม่อยากเจอแต่ก็ต้องเจอ ซึ่งนั่นคือความจริงที่แสนโหดร้ายอยู่ไม่น้อย
แต่ก็นั่นแหละที่ความจริงอันโหดร้ายเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ และต้องเอาชนะไปให้ได้ เพราะถ้าเราข้ามมันไม่ได้แล้วก็อาจจะทำให้ชีวิตเราต้องติดแหง่ก ไม่ก้าวหน้า หรือบางทีอาจจะจมดิ่งเอาได้ง่ายๆ เหมือนกัน ซึ่งผมก็ไปเจอบล็อกของ elitedaily ที่พูดเรื่องนี้เอาไว้เหมือนกัน และเนื้อหาที่เขาเลือกยกมานั้นก็ถือว่าจี๊ดทีเดียว มีอะไรบ้างนั้น มาดูกันดีกว่าครับ
1. ฉันเกลียดงานของฉัน
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นมักจะเต็มไปด้วยความสุขกับงานที่ทำ และนั่นทำให้เรามักพบว่าเขาทุ่มเทและเต็มที่กับงานได้อยู่เสมอ แต่ก็นั่นแหละที่คนเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม (ไม่งั้นประเทศเราอาจจะเจริญไปถึงไหนแล้วก็ได้) เพราะคนส่วนมากมักจะพบตัวเองเหนื่อยหน่ายและไม่อยากลุกมาทำงาน บ้างก็รู้สึกซ้ำซากจำเจกับงานที่ทำโดยมองไม่เห็นว่าตัวเองจะก้าวหน้าไปไหนได้เสียที
อันที่จริง ข้อหนึ่งที่เราต้องยอมรับกันเสียก่อนคือการจะหางานในฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสียเท่าไร คนจำนวนน้อยถึงน้อยมากที่จะพบงานประเภทที่ทำแล้วรู้สึกสนุกหรือที่คนมักพูดให้ดูสวยหรูว่าเหมือนไม่ได้ทำงานเลย ฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้แฮปปี้ไปกับงานก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ตามมาคือคุณไม่ควรจมอยู่กับความทุกข์แบบนั้นไปตลอด การที่คุณรู้สึกไม่มีความสุขกับงานควรเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการหาโอกาสใหม่ๆ หรือเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมได้ (เสียที)
2. ฉันต้องการการเปลี่ยนแปลง
เรามักพูดกันเสมอว่าคนเรามักเลือกจะอยู่ใน Comfort Zone แต่ในความเป็นจริงนั้น บางคนก็ไม่ได้อยู่ใน ‘Comfort’ Zone เสียทีเดียว แต่พวกเขาเลือกจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง บ้างก็ยอมทนทุกข์ต่อไปเพราะรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงไปก็อาจจะไม่มีอะไรดีขึ้น หรือถ้าเปลี่ยนไปแล้วมันจะแย่กว่าเดิม
แต่ก็นั่นแหละที่ถึงจุดหนึ่งในชีวิตแล้ว คุณก็จะกลับมาที่ความคิดว่าถึงเวลาหรือยังที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงเสียที ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงนิสัย ฯลฯ ซึ่งเมื่อไรที่คุณมาถึงจุดนั้นแล้วก็อย่าได้มองมันแย่ๆ หรือหลีกเลี่ยงมัน เพราะลึกๆ แล้วตัวคุณเองนั่นแหละที่กำลังเตือนตัวเองว่าถึงเวลาที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว
3. ฉันไม่ได้รักเขาแล้ว
หัวข้อนี้อาจจะฟังดูดราม่าๆ แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับคนที่เคยมีความสัมพันธ์มาก็ล้วนจะมีโมเมนต์แบบนี้กันไม่มากก็น้อย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าหลายๆ ครั้งความสัมพันธ์ของคู่รักมันไปไม่รอด เข้ากันไม่ได้ และทางที่ดีคือการจบความสัมพันธ์ดีกว่าที่จะให้มันทำลายชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งไป (และโลกเราก็ไม่ได้สวยงามแบบในละครหลังข่าวแต่อย่างใด)
หนึ่งในปัญหาที่เรามักได้ยินคนช้ำรักมักพร่ำบอกบ่อยๆ คือทรมานนะ แต่เลิกไม่ได้เพราะเหตุผลต่างๆ นานา ซึ่งหลายๆ ทีเราก็จะพบว่ามันเป็นเหมือนการหลอกตัวเองว่ายังรักเขาอยู่ ยังต้องการเขาอยู่ เลยต้องพยายามทนอยู่ร่ำไปทั้งที่จริงๆ แล้วความรักอาจจะหมดไปแล้ว ที่ยังคงอยู่คือพันธะความเป็นคนรักที่ตัวคนสร้างเงื่อนไขมาผูกตัวเองต่างหาก ฉะนั้นเรื่องนี้คุณควรจะสนใจความรู้สึกของตัวเองให้มากๆ ดีกว่าจะเสียเวลา (และชีวิต) ไปกับสิ่งที่คุณอาจจะสร้างขึ้นมากล่อมตัวเองจนมองไม่เห็นความจริง
4. ฉันยังลืมมันไม่ได้
เวลาคนมีปัญหาและพูดให้กำลังใจนั้น หนึ่งในสิ่งที่เราพูดกันบ่อยๆ คือไม่เป็นไร ยังมีวันพรุ่งนี้ ลืมอดีตไปซะแล้วเริ่มต้นใหม่
แต่เอาจริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดหรอกครับ คนเรารู้ดีว่าการก้าวข้ามอดีตหรือลืมความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องที่พูดปุ๊ปจะทำได้ กับบางเรื่องต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่สามารถลืมหรือเยียวยาได้ ตัวผมเองก็มีบางเรื่องไม่สามารถลืมความรู้สึก หรือแม้แต่ยกโทษให้ได้ มันอาจจะฟังดูเป็นการผูกใจเจ็บหรือปมอดีต แต่ก็นั่นแหละที่ชีวิตจริงเราไม่ได้ง่ายในการปลดปมเหล่านี้เสียเมื่อไร
มันเลยกลับมาที่ว่าบางทีคุณต้องเผชิญหน้าความจริงว่าคุณอาจจะมีปมบางอย่างที่ติดตัวอย่างช่วยไม่ได้ในวันนี้ และคุณก็ต้องถือมันต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่งจนกว่าวันที่คุณจะพร้อมเพื่อปลดมันออก อย่าพยายามทึกทักว่าคุณลืมมันไปแล้ว หรือไม่รู้สึกอะไรแล้วทั้งที่จริงๆ แล้วคุณยังทำไม่ได้ เพราะการที่คุณยอมรับความจริงมันย่อมมีโอกาสที่จะแก้ไขได้ง่ายเสียกว่าการที่คุณปฏิเสธความจริงของตัวเอง
5. ฉันไม่มีความสุข
โลกเราไม่ได้เป็นนิทานก่อนนอนของเด็กที่จะสดใส มีตัวการ์ตูนยิ้มแย้มกันอยู่ตลอดเวลา ความเป็นจริงคือคุณจะย่อมเจอช่วงเวลาที่ไม่มีความสุข บางวันยากจะฝีนทนและต้องเสียน้ำตา บางวันท้อแท้จนอยากจะเลิกทำทุกๆ อย่างไป
นั่นแหละครับชีวิตจริงของเราที่ไม่ได้แฮปปี้ไปตลอด
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของการที่คุณรู้ตัวและเผชิญหน้ากับความจริงข้อนี้ คือการที่ทำให้คุณได้มีโอกาสลองมองหาวิธีที่จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น แทนที่จะทนอยู่กับภาวะเดิมๆ แล้วบอกว่า “โอเคน่ะ” ไปเรื่อยๆ โดยไม่มองหาอะไรใหม่ๆ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ ก็อย่าไปพยายามปิดกั้นหรือหลีกหนีเลย เผชิญหน้ามันและก้าวข้ามไปให้ได้ดีกว่าครับ
Comments