top of page

5 วิธีผลักดันตัวคุณเองให้ทำงานหนักขึ้น

การทำงานหนักอาจจะฟังเป็นเรื่องที่หลายๆ คนได้ยินแล้วรู้สึกเหนื่อยแทบจะทันที แม้ว่าเราจะพยายามบอกกันว่าการทำงานที่ดีไม่ใช่การทำงานหนัก แต่เราก็ต้องยอมรับว่าบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนนั้นก็ทำงานหนักกันทั้งนั้น (แต่นอกจากหนักแล้ว เขายังทำงานฉลาดด้วยนั่นแหละ)

เราจะเห็นว่าพื้นฐานสำคัญของการก้าวหน้าและการพัฒนาตัวเองไปให้ถึงอีกระดับหนึ่งได้นั้นก็มาจากการทุ่มเท อดทน และฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าภิรมย์เสียเท่าไร และมันก็ไม่ใช่เรื่องสวยงามนักเพราะเมื่อคุณลงมือทุ่มเททำงานแล้วนั้น เวลาจริงๆ คุณจะพบกับความเหนื่อยล้า พบกับความผิดหวัง และพบกับความรู้สึกประเภท “นี่ชั้นทำอะไรอยู่” หรือ “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” ที่พร้อมจะฉุดให้คุณเลิกทำได้ทุกเมื่อ

เอาล่ะ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราจะหาวิธีอะไรดีมาทำให้เราสามารถก้าวข้ามความรู้สึกลบๆ เหล่านั้นและทำให้เราทำงานได้หนักขึ้น หรืออดทนได้มากขึ้นล่ะ? เรื่องนี้ผมเลยขอหยิบบล็อกของ Inc มาลองเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ

1. คุณต้องมีภาพที่ชัดเจนว่าปลายทางนั้นของคุณคืออะไร

เวลาเราพูดเรื่องการพัฒนาตัวเองนั้น การตั้งเป้าหมายมักเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงบ่อยมากที่สุดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอย่างนั้นเพราะถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน มันก็จะยิ่งเป็นแรงจูงใจและแรงพลักดันที่คอยบอกตัวคุณเองได้ว่าคุณเหนื่อยไปเพื่ออะไร และยิ่งเป้าหมายนั้นยิ่งใหญ่หรือสำคัญกับคุณมากแค่ไหน มันก็จะยิ่งเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะทำให้คุณตอบตัวเองได้ว่าทำไมคุณต้องพยายามมากขึ้นไปอีก

สำหรับตัวผมเองนั้น คนที่รู้จักผมมักจะพูดกันเสมอๆ ว่าผมเป็นคนทำงานหนักมาก แต่หลายๆ ทีผมก็จะอธิบายว่าผมไม่ได้มองว่ามันคือการทำงาน แต่สำหรับผมมันคือการพัฒนาตัวเองเพื่อให้ผมเก่งขึ้นและไปสู่ตัวผมที่วาดฝันเอาไว้ และผมว่าแนวคิดนี้เองก็มีหลายๆ คนคิดไม่ต่างกัน เพราะมันคือการมองไปที่เป้าหมายมากกว่าจะสนใจว่าวันนี้เราเหนื่อยแค่ไหน ยิ่งเรากระหายที่จะไปถึงเป้าหมายมากแค่ไหนแล้ว เราก็จะเปลี่ยนวิธีมองสิ่งที่เราทำอยู่ในแต่ละวันไปมากขึ้นเท่านั้น

ถามผมแล้ว ทุกวันนี้ผมเหนื่อยไหม เชื่อเถอะครับว่ามัน “ไม่สบาย” หรอกฮะ อย่างตอนที่ผมพิมพ์บล็อกนี้เองนั้น ผมก็อยู่ในสภาวะที่เหนื่อยจนแทบจะสลบจากมรสุมงานอยู่เหมือนกัน แต่เพราะผมมี “คำตอบ” ของผมที่บอกตัวเองอยู่ทุกวันว่าทำไมเราต้องทำ และทำไปจะได้อะไร มันเลยทำให้ผมยังคงเดินหน้าทำต่อมาเรื่อยๆ นั่นแหละฮะ

2. ดูแลร่างกายคุณด้วย

หลายๆ ครั้งที่คุณไม่สามารถทำงานหนักๆ หรือทุ่มเทกับอะไรให้สุดๆ ได้นั้นไม่ใช่เรื่องของจิตใจหรือทัศนคติ แต่คือสุขภาพของคุณที่ไม่เอื้ออำนวยนั่นแหละ กับตัวผมเองในช่วงที่ป่วยนั้น แน่นอนว่าสภาพร่างกายทำให้ศักยภาพต่างๆ ที่เคยตื่นตัวและอยากทำโน่นทำนี่นั้นกลับไปโหมดอยากนอนเฉยๆ และต่อให้มีแรงใจมากแค่ไหนก็ยากจะฉุดขึ้นมา

เรื่องนี้เลยอาจจะต้องทำให้คุณต้องกลับมาถามตัวเองว่าวันนี้ร่างกายของคุณอยู่ในภาวะที่พร้อมจะลุยงานหนักๆ หรือทุ่มเทในการทำงานหรือเปล่า คุณนอนมาเพียงพอไหม คุณกินข้าวมาเพียงพอหรือเปล่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนอย่างมากกับการทำงานโดยที่คุณไม่รู้ตัว (ลองคิดง่ายๆ ว่าเวลาที่คุณอิ่มท้องนั้น ความคิดของคุณมักจะวิ่งฉิว ต่างจากเวลาที่คุณโรยราแล้วความคิดคุณจะตื้อจนนั่นแหละฮะ)

3. เปลี่ยนให้กลายเป็นนิสัย

สำหรับคนหลายๆ คนนั้น การทำงานประเภทกระโจนเข้าหางานนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งปลุกใจหรือคอยสร้างแรงบันดาลใจกันทุกครั้ง ลองนึกเหมือนกับคนที่ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสก็ได้ครับ หลายๆ คนที่เข้าฟิตเนสหรือออกกำลังกายนั้นไม่ได้มองว่าต้องคอยบิ้วท์ตัวเองกันทุกวันแต่อย่างใด หากแต่พวกเขาไปออกกำลังกายเสมือนกับกิจวัตรประจำวันที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ (ประเภทที่ไม่ได้ทำนั่นแหละที่จะประหลาด)

ที่บอกเช่นนี้เพราะถ้าคุณต้องมาคอยบิ้วท์ตัวเองให้พยายามมากขึ้น ต้องอดทน ต้องสู้ ฯลฯ ในไม่ช้าคุณก็จะรู้สึกเบื่อกับการบอกตัวเองแบบนั้นครับ (เพราะคุณจะเคยชินและไม่ได้รู้สึกไปกับมันเท่าไรหรอก) มันจึงดีกว่าถ้าคุณรีบทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นธรรมชาติของคุณโดยเร็ว ทำให้ทัศนคติสู้งานเหล่านี้กลายเป็นนิสัยของคุณโดยไม่ต้องมีการยั้งคิดอะไร

ลองมองไปบรรดาคนในออฟฟิศของคุณที่ประเภทสู้งานดูก็ได้ครับ คุณอาจจะสังเกตว่าพวกเขาสามารถลงมือทำงานต่างๆ แบบที่เราเม้าท์กันว่า “บ้าระห่ำ” โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไร เพราะสำหรับพวกเขานั้น มันเป็นเรื่องปรกติไปแล้วต่างหาก

4. กล้าที่จะเสี่ยงและไปมากกว่าลิมิตของคุณ

กฏง่ายๆ ที่เรามักพูดกันคือ No Pain, No Gain หรือจะมองก็คือคุณไม่สามารถก้าวหน้าหรือไปสู่ระดับที่มากกว่าเดิมได้หากคุณยังทำอะไรแบบเดิมๆ นั่นแหละ

ผมชอบบรรยายเรื่องทักษะความสามารถที่เราควรจะมีเพื่อให้เราก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในอนาคต ผมเชื่อว่าคนจำนวนมากนึกออกว่าอยากมีทักษะอะไร แต่คนจำนวนมากอีกเช่นกันที่ไม่สามารถมีทักษะเหล่านั้นได้ ทั้งนี้เพราะถ้าเรายังใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆ ทำงานแบบเดิมๆ คิดกันแบบเดิมๆ มันคงไม่มีวันที่เราจะได้อะไรใหม่ๆ ออกมาได้

ถ้าเราอยากได้อะไรใหม่ๆ กับตัวเราเอง มันก็จำเป็นที่คุณต้องกล้าออกจาก Comfort Zone ของคุณแล้วไปลองอะไรที่ยากกว่าเดิม ท้าทายกว่าเดิมนั่นแหละฮะ

5. ให้รางวัล (และลงโทษ) ตัวคุณด้วย

เทคนิคอย่างหนึ่งที่คุณอาจจะเริ่มทำกันได้คือการให้กำลังใจตัวเองด้วย “รางวัล” ประเภทถ้าทำหมดนี่ได้แล้วชั้นจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเองก็มักมีเงื่อนไขบางอย่างให้กับตัวเองเหมือนกัน เช่นถ้าผมเขียนหนังสือเสร็จ ผมจะซื้อของที่ผมอยากได้มานาน (แต่ชั่งใจอยู่หลายเดือนแล้ว) หรือบางทีการให้รางวัลง่ายๆ เช่นการไปเที่ยว ไปพักผ่อน ไปนวดสปา ฯลฯ มันก็เป็นอะไรที่จูงใจตัวเองอยู่เหมือนกัน (แต่อย่าโกงตัวเองนะครับ)

ในทางกลับกัน คุณเองก็ต้องซื่อตรงกับตัวเองเหมือนกันว่าถ้าคุณทำไม่ได้แล้ว คุณจะลงโทษตัวเองอย่างไร เพื่อทำให้ตัวคุณกลับมาอยู่ในโหมดที่ยังอยู่กับความพยายามเดิมได้

5 วิธีนี้อาจจะเป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณลองเริ่มตั้งเงื่อนไขกับตัวคุณเองได้เลย ซึ่งถ้าคุณค่อยๆ ทำมันให้ได้แล้วล่ะก็ ชีวิตคุณคงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงได้ล่ะครับ :)

Commentaires


Me_Potrait.jpg

Nuttaputch Wongreanthong

An experienced marketer with a passion for understanding and exploring the latest trends

  • Facebook
  • Twitter
  • LinkedIn
  • Instagram

Subscribe

Thanks for submitting!

bottom of page