Design Thinking คืออะไร? ทำไมนักการตลาดและผู้บริหารควรจะรู้?
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการพูดถึงการทำ Design Thinking กันมากขึ้นในวงการบริหารธุรกิจและการตลาด และหลายๆ คนก็อาจจะสงสัยว่า Desing Thinking คืออะไร ทำไมต้องสนใจกันด้วยในเมื่อเราไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับ Design เราจะรู้เรื่องพวกนี้กันไปทำไม
ซึ่งแม้ว่า Design Thinking จะดูเหมือนไกลตัวจากคนทำงานในสาย Business (ถ้ามองจากคำพูด) แต่เอาจริงๆ แล้วมันใกล้ตัวและใช้ประโยชน์ได้มากโขทีเดียวครับ
Design Thinking คืออะไร?
ถ้าจะอธิบายกันง่ายๆ แล้วนั้น Design Thinking คือการอธิบายรูปแบบ “กลยุทธ์” และ “กระบวนการ” ในการ “ออกแบบ” ซึ่งเหล่านักออกแบบมักจะใช้กันในการออกแบบงานต่างๆ
แน่นอนว่าในสมัยก่อนนั้น Design Thinking มักจะถูกพูดถึงกันในวงการออกแบบหรือการสร้างสรรค์งาน Creative เป็นสำคัญ แต่พอมาถึงยุคหนึ่งแล้ว หลายๆ คนก็เริ่มมีการประยุกต์แนวคิดนี้ไปสู่การออกแบบธุรกิจ การใช้แก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับการออกแบบก็ได้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะกระบวนการของ Design Thinking นั้นลึกๆ แล้วก็คือการทำความเข้าใจปัญหาที่ต้องการจะแก้ไข และการพยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีต่างๆ ในแบบที่เรามักเรียกว่า “สร้างสรรค์” นั่นแหละ
Design Thinking กับธุรกิจ
ทีนี้เมื่อมีการนำ Design Thinking มาใช้กับธุรกิจแล้วนั้น มันจะถูกใช้กันอย่างไร?
อย่างที่ได้กล่าวไปคือ Design Thinking เป็นกระบวนการในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาที่มักจะใช้ในเรื่องของ Design Thinking คือการสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับตัวผู้บริโภคของลูกค้า โดยเป็นการทำความเข้าใจตัวลูกค้าเพื่อทราบถึงความต้องการต่างๆ แล้วจึงเริ่มกระบวนการหาไอเดียหรือแนวคิดที่สามารถไปแก้ปัญหานั้นๆ ได้ ซึ่งด้วยวิธีแบบนี้เองทำให้ Design Thinking มักจะถูกนำมาใช้ในเรื่องการสร้าง Innovation หรือการออกแบบสินค้า / บริการอยู่เสมอ
ทำไม Design Thinking มีหลายโมเดล?
คงไม่แปลกอะไรถ้าคุณจะเห็นการพูดถึง Design Thinking แล้วเห็นว่ามีหลายโมเดลกัน เพราะในแต่ละ School ก็จะมีตัว Framework ของ Design Thinking ที่ไม่เหมือนกัน อย่างที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ คือ Design Thinking Process ของ Standford University
แต่ขณะเดียวกันยังมีโมเดลของ School อื่นๆ อีกเช่น
ซึ่งถ้าเรามาดูจากหลายๆ โมเดลแล้วจะเห็นว่า Design Thinking Process นั้นมักจะมีขั้นสำคัญๆ คือ
1. การเข้าใจปัญหาว่าคืออะไร? เกิดขึ้นกับใคร? เขาต้องการอะไร?
2. การพัฒนาหรือหาไอเดียเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว
3. การสร้าง Prototype เพื่อทดสอบไอเดียดังกล่าว
ส่วนจะแบ่งเป็นกี่ขั้นตอนย่อย อันนั้นก็จะอยู่กันที่ว่าจะดูโมเดลของ School ไหน
ทำไมเราถึงมักใช้ Design Thinking กันในวันนี้?
ในมุมมองของผมนั้น สิ่งที่น่าจะเป็นแรงขับให้ Design Thinking กลายเป็นทักษะสำคัญของการทำธุรกิจวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะการแข่งขันของธุรกิจในวันนี้เริ่มไม่ใช่การทุ่มเงินกันในการทำโฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น มีความคาดหวังสูงขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการของพวกเขานั้นจะเริ่มซับซ้อนจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป มันก็เลยกลายเป็นโจทย์ที่ธุรกิจต้องหาวิธีการที่จะทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าที่มีต่อธุรกิจของตัวเองนั้นดีขึ้นกว่าเดิม
เพราะเราต้องไม่ลืมนะครับว่า “การตลาด” ไม่ใช่แค่การโฆษณาหรือทำสื่อสารการตลาดเท่านั้น และใน Marketing Mix ก็จะพูดกันเสมอว่า P แรกคือ Product นั่นเอง ฉะนั้นแล้ว การพัฒนาตัวสินค้าและบริการก็ย่อมเป็นโจทย์ที่นักการตลาดต้องเข้ามาเกี่ยวข้องและรับผิดชอบด้วย
ทีนี้สิ่งที่ทำให้ Design Thinking มีความน่าสนใจมากกว่าการพัฒนาสินค้าแบบเดิมๆ ที่เราใช้กันนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะมีกระบวนการ Brainstorming / Prototype ซึ่งจะเป็นเหมือนการทดลองไอเดียต่างๆ และค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ แทนที่จะกลายเป็นการสร้างงาน “เสร็จสมบูรณ์” แล้วออกสู่ตลาดไป ซึ่งวิธีการของ Design Thinking นี้เหมาะกับสินค้าในหลายๆ อุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งการพัฒนา Digital Experience อย่างการออกแบบเว็บไซต์ การพัฒนา Mobile Application ต่างๆ
นอกจากนี้แล้ว แม้ว่าโดยตัว Design Thinking ดูเหมือนจะโฟกัสเรื่องการออกแบบ Product / Solution เป็นสำคัญ แต่เอาจริงๆ แล้วกระบวนการคิดของ Design Thinking ก็สามารถนำไปใช้ในการทำงานอื่นๆ ได้เพราะสุดท้ายมันคือกระบวนการ “แก้ปัญหา” ที่เกิดขึ้นนั่นเอง
คิดว่าบล็อกนี้น่าจะพอทำให้เข้าใจพื้นฐานของ Design Thinking กันได้มากขึ้นว่ามันคืออะไร ทำไมนักการตลาดถึงควรจะรู้ ซึ่งในบล็อกต่อๆ ไปจะลองเขียนเพิ่มเติมว่า Design Thinking ที่เขามักใช้กันนั้น มีขั้นตอนอะไร ทำงานจริงกันอย่างไรกันนะครับ
Comments