The Last Lecture – บทเรียนจากพี่ถึงน้องในวันสุดท้ายที่ออฟฟิศ
วันนี้เป็นวันที่ผมทำงานกับออฟฟิศเดิมเป็นวันสุดท้ายหลังจากที่ใช้เวลามาร่วม 2 ปีครึ่งก่อนจะเริ่มเดินทางครั้งต่อไป ในชั่วโมงสุดท้ายของวัน ผมเรียกประชุมทีมเกือบ 30 คนเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อแชร์เรื่องราวบางอย่างที่ผมอยากส่งต่อให้กับพวกเขาซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งทำงานเป็นที่แรก ผมเรียกมันว่า The Last Lecture (ตั้งชื่อตามหนังสือที่ผมชื่นชอบมากๆ) ซึ่งเนื้อหาที่ผมพูดนั้น ไม่ได้พูดถึงเรื่องงาน แต่พูดถึง “ชีวิต” ที่ผมอยากฝากให้พวกเขาส่งต่อไปเรื่อยๆ ดังนี้ครับ
1. จงสงสัยว่า “ทำไม”
ในการทำงานหรือใช้ชีวิตทุกๆ วันนั้น เรามักจะรู้กันว่าเราทำ “อะไร” แต่หลายๆ ครั้งที่เราไม่เคยรู้ว่าทำไป “ทำไม” ทั้งนี้เพราะบางอย่างเป็นสิ่งที่ถูกทำต่อๆ กันมาบ้าง หรือบางครั้งก็เป็นวิถีที่ถูกปฏิบัติมาจนคนหลังๆ เองก็ไม่ได้ฉุกคิดหรือตั้งข้อสงสัยว่าทำไปทำไม
อันที่จริง การหาสิ่งที่เรียกว่า WHY นั้นเป็นกุญแจสำคัญของการทำงานและการเข้าใจเนื้อแท้สำคัญของสิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่กับมัน แม้แต่กับงานเล็กๆ น้อยๆ เองก็ล้วนมีความหมายเช่นเดียวกับคุณค่าที่เป็นแก่นสำคัญของมัน และนั่นทำให้คนที่เข้าใจ WHY จะสามารถทำงานต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับคนที่ประสบความสำเร็จก็มักคือคนที่เข้าใจ WHY ของสิ่งที่ตัวเองทำนั่นแหละ
ตลอดการทำงานของผมช่วงหลังๆ ผมจะให้ความสำคัญกับ WHY มากเป็นพิเศษ ว่าเราทำงานนี้ไปทำไม เทคนิคนี้มีไว้เพื่ออะไร เพราะผมเชื่อเสมอว่าถ้าเรายังไม่เข้าใจเหตุผลในการมีอยู่ของมันแล้ว มันก็คงยากที่จะทำให้มันมีประสิทธิภาพได้
การตั้งคำถามว่า “ทำไม” ไม่ใช่แค่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึงอีกหลายๆ เรื่องในชีวิตของเราที่จะต้องเจอในวันข้างหน้า คนที่ขยันตั้งข้อสงสัยและคิดเพื่อตกผลึกกับสิ่งต่างๆ คือคนที่จะมองทะลุถึงธรรมชาติและกลไกต่างๆ ซึ่งทำให้ความคิดต่างๆ ที่ตามมานั้นชัดเจนและเป็นระเบียบแบบแผนอย่างมากทีเดียว
*เรื่องของ WHY นี้ ผมแนะนำให้ดู TED Talk ของ Simon Sinek ซึ่งผมว่าเป็นหนึ่งใน TED ที่ดีที่สุดตลอดกาลเลยครับ
2. จงทรหดอดทน
ในชีวิตของเรา เราจะเจอเรื่องราวมากมายที่พร้อมจะทำให้เราพบกับความล้มเหลว การพ่ายแพ้ หรือความผิดหวังอยู่เรื่อยๆ แต่สิ่งที่จะทำให้เราก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จได้คือความอดทน การพยายามลุกขึ้นมาต่อสู้ การพยายามดิ้นรนและพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ซึ่งนั่นสำคัญเสียยิ่งกว่าสติปัญญาหรือความเก่งกาจเสียอีก
เรามักจะเห็นคนเก่งหลายคนไม่มีความอดทน และสุดท้ายก็ยอมแพ้ ถอนตัวกันแบบดื้อๆ แต่เมื่อเรามองไปยังคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ฉลาดที่สุด แต่พวกเขาคือคนที่กระตือรือร้นและพยายามวิ่งไปให้เข้าใกล้เป้าหมายให้ได้มากที่สุด
เรื่องราวของ GRIT (ความทรหดอดทน) นี้ลองฟังจาก TED ของ Angela Lee ดูได้ครับ (เป็นอีก TED ที่ควรดู)
นอกจากนี้แล้ว มันทำให้ผมนึกถึงหนัง Rocky Balboa ที่มีฉากหนึ่ง Rocky ได้สอนลูกชายของเขาเกี่ยวกับการไม่ยอมแพ้ต่อโลก ซึ่งผมว่าบทหนังช่วงหนังเป็นอะไรที่สร้างแรงบันดาลใจมากๆ
Let me tell you something you already know. The world ain’t all sunshine and rainbows. It’s a very mean and nasty place, and I don’t care how tough you are, it will beat you to your knees and keep you there permanently if you let it. You, me, or nobody is gonna hit as hard as life. But it ain’t about how hard you hit. It’s about how hard you can get hit and keep moving forward; how much you can take and keep moving forward. That’s how winning is done! Now, if you know what you’re worth, then go out and get what you’re worth. But you gotta be willing to take the hits, and not pointing fingers saying you ain’t where you wanna be because of him, or her, or anybody. Cowards do that and that ain’t you. You’re better than that!
3. จงฝึกฝน
ความเก่งกาจ ความสามารถ ทักษะต่างๆ เกิดจากการฝึกฝนอยู่เสมอ และคนที่เก่งคือคนที่ขยันฝึกเพื่อให้พวกเขาเข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่า “สมบูรณ์แบบ” ให้มากที่สุด มันคือเหตุผลที่นักกีฬายังคงฝึกตลอดเวลาแม้ว่าพวกเขาจะสามารถยิงธนูเข้าเป้ากลางได้แล้ว สามารถขว้างลูกได้เข้าเป้าแล้ว ฯลฯ การฝึกฝนจะเป็นเหมือนการลับคมให้ตัวคุณอยู่อย่างไม่สิ้นสุด มันจะแหลมคมมากขึ้นไปเรื่อยๆ
คนจำนวนมากจะบอกว่าการทำงานนั้นก็เพียงพอกับการพัฒนาทักษะความสามารถตัวเองอยู่แล้ว แต่นั่นคือวิธีคิดแบบ “ทั่วๆ ไป” ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จเขาจะไม่ทำกันแบบนั้น แต่พวกเขาจะพยายามหาวิธีในการฝึกฝนตนอยู่เสมอแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาของการทำงาน หรือไม่มีงานให้ทำก็ตาม นั่นเพราะพวกเขาไม่ต้องรอว่าต้องมีงานถึงจะได้ฝึกทักษะและความสามารถของพวกเขา
อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงการฝึกทักษะ ไม่ใช่ฝึกทำงาน
4. จงเรียนรู้
นอกจากฝึกฝนแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปคือการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ที่ว่าไม่ใช่ไปเทคคอร์สเรียนปริญญาโทหรือต้องรอไปสัมนาอบรมแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและในทุกโอกาส เพียงแต่เราจะเลือกเรียนรู้มันหรือเปล่าต่างหาก ในการทำงานต่างๆ นั้นมีเรื่องราวมากมายให้คุณเรียนรู้ มีรายละเอียดมากมายให้คุณสังเกตและสามารถต่อยอดความรู้ไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่มันอยู่ที่มุมมองของคุณเท่านั้นว่าจะเลือกมองมันเป็นบทเรียนให้กับตัวเองหรือเปล่า
เพราะแม้แต่ความล้มเหลว การพ่ายแพ้ ก็สามารถเป็นบทเรียนชั้นดีให้กับคุณได้แทนที่คุณจะมองว่ามันเป็นอดีตที่อยากลืมๆ ไปเท่านั้น
5. จงเตรียมตัวให้พร้อม
ในยุคสมัยที่หลายๆ คนพยายามกระโดดไปสู่ความก้าวหน้าด้วยวิธีการต่างๆ เราพบว่าหลายคนพบกับความล้มเหลวเมื่อก้าวกระโดดเร็วเกินไป ทั้งนี้เพราะพวกเขาอาจจะได้รับโอกาสและรีบคว้าโดยยังไม่ได้มีความพร้อมที่จะรับโอกาสนั้นๆ แต่นั่นผิดกับหลายๆ คนที่ไม่รีบร้อนที่จะกระโดดแม้ว่าจะมีโอกาสเข้ามาในวันที่เขายังไม่พร้อมหรือแข็งแรงเพียงพอ แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในศักยภาพที่พร้อมแล้ว เมื่อพวกเขาขยับ มันจะเป็นก้าวที่แข็งแรง มั่นคง และพร้อมจะออกวิ่งได้อย่างรวดเร็วผิดกับหลายๆ คนที่พอย้ายงานแล้วก็ต้องไปเริ่มเรียนรู้กันใหม่เพราะยังไม่มีทักษะเพียงพอ สุดท้ายงานก็ไม่ประสบความสำเร็จไปในที่สุด
ผมยกตัวอย่างขงเบ้งสำหรับเรื่องนี้ ขงเบ้งเป็น “มังกรหลับ” ที่ศึกษาและรำ่เรียนตำราพิชัยสงครามจนเป็นเอกในศาสตร์ เมื่อวันที่เขาได้เป็นกุนซือให้เล่าปี่ นั่นคือวันที่มังกร “ทะยาน” ได้อย่างทันที
สำหรับผม มันไม่แปลกที่คนทำงานจะมีเป้าหมายหลายอย่างอยู่ในใจ แต่การจะก้าวไปสู่ขั้นต่อไป คนที่เก่งก็จะมีการวางแผนและวิเคราะห์ไปด้วยว่าในก้าวต่อไปนั้นพวกเขาจำเป็นต้องมีอะไรที่จะทำให้การก้าวนั้นมีประสิทธิภาพ ในตำแหน่งงานถัดไปต้องใช้ความสามารถอะไร ทักษะอะไร จากนั้นก็ลับคมทักษะเหล่านั้น เติมความรู้ให้พร้อม และวันที่โอกาสมาถึง พวกเขาก็จะสามารถคว้าและไปทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมแทบจะในทันที
6. จงปฏิบัติกับคนอื่นแบบเดียวกับที่เราอยากถูกปฏิบัติ
เรามักมีการพูดถึงเรื่องความไม่พอใจเมื่อถูกคนอื่นในที่ทำงานหรือลูกค้าปฏิบัติกับเราไม่ดี แต่สิ่งที่เรามักจะลืมทำกันคือการปฏิบัติกับคนอื่นในแบบที่ควรจะเป็น กลายเป็นว่าเรารับเรื่องแย่ๆ มาแบบไหน ก็ไม่ค่อยจะเรียนรู้แล้วยังคงทำเรื่องแย่ๆ นั้นต่อไปกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว (หรือบางทีก็รู้ตัวแต่พยายามมีข้ออ้างมาแก้ตัว)
สำหรับผม การทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นเรื่องของการให้เกียรติและเคารพคนอื่น จริงอยู่ว่าหลายๆ คนอาจจะทำตัวกับเราไม่ดี แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าเราต้องทำตัวไม่ดีสวนกลับไปหาเขา นั่นเลยเป็นที่มาที่ผมชอบพูดเสมอๆ ว่าเราอยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร เราก็ต้องทำอย่างนั้นกับคนอื่นด้วยเช่นกัน ไม่ใช่จะ “เอา” แต่ไม่ยอม “ให้”
7. จงเป็นคนที่รับผิดชอบ
หนึ่งในประโยคจากหนังที่ผมจำได้แม่นที่สุดอันหนึ่งคือ With great power come great responsibility ซึ่งผมว่ามันเป็นข้อคิดที่จริงมากๆ โดยเฉพาะกับคนที่ทุกวันนี้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนหรือเจ้าของกิจการแล้ว
เด็กรุ่นใหม่หลายๆ คนอาจจะไปคิดว่าการเป็นผู้จัดการคนนั้นสบาย ได้เป็นหัวหน้าคน สั่งงานคนอื่น แต่เอาจริงแล้ว การเป็นหัวหน้า เป็นคนที่ได้รับอำนาจ (ที่ดี) นั้น ไม่ได้สบายขึ้นแต่อย่างใด หากแต่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับ “ภาระ” บางอย่างที่อาจจะไม่ได้แสดงออกมาด้วยเนื้องานแบบทั่วๆ ไป แต่ภาระนั้นเป็นสิ่งที่ “หนัก” อยู่มากโขเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้ว อาจารย์ผมสอนผมอยู่เสมอว่าการเป็นมืออาชีพและให้คนยอมรับนั้น คือตัวเราต้องมีความรับผิดชอบ ซึ่งก็คือถ้ากล้ารับทั้งผิดและชอบ ไม่ใช่รับแต่ชอบเพียงอย่างเดียว ลองคิดกลับง่ายๆ ว่าคนที่วันๆ เอาแต่โทษคนอื่น เอาแต่โยนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่น คุณจะรู้สึกกับเขาอย่างไร คนที่รับปากเอาไว้แต่ไม่ยอมทำตามที่พูด คุณจะมองพวกเขาแบบไหน สิ่งเหล่านี้คือภาพจำที่หลายๆ คนจะจำคุณไว้นั่นแหละ
8. จงวางเป้าหมายในชีวิต
ชีวิตของเราก็เหมือนการเดินทาง ถ้าการเดินทางไม่รู้เป้าหมายปลายทางแล้ว การเดินทางก็อาจจะสับสน เวียนวน บ้างก็หลงทางเอาได้ง่ายๆ มันคงจะดีถ้าอย่างน้อยคุณสามารถมองเห็นได้ว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร มันจะอยู่จุดไหน แล้วปูทางตัวเองไปให้ถึงตรงนั้น จริงอยู่ว่าการวางเป้าหมายชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายของหลายๆ คนที่บางทีก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าอยากทำอะไร แต่อย่างน้อย การที่รู้ตัวและขยันสำรวจตัวเองว่าเราควรจะวางเป้าหมายอย่างไรก็เป็นก้าวเริ่มต้นที่ควรจะทำเสียในวันนี้
9. ชีวิตเราเหมือนมาราธอน
หลายๆ คนจะพยายามเร่งชีวิตตัวเองให้ไปเร็วๆ ให้ก้าวกระโดดไปถึงจุดสูงสุดไวๆ แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้หลายคนล้มแล้วเจ็บหนักระหว่างทาง มันก็เหมือนกับการวิ่งที่ถ้าคุณพยายามวิ่งด้วยความเร็วสูงเพราะอยากไปถึงที่หมายเร็วๆ เมื่อคุณพลาดแล้วล้ม คุณก็เจ็บหนัก แต่ถ้าคุณมองว่าชีวิตของคุณเหมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่ต้องวิ่งเต็มสูบในระยะสั้นๆ แต่คือการวิ่งรักษาระดับพลังไว้อย่างต่อเนื่องและสามารถวิ่งได้ไกล ชีวิตของคุณก็อาจจะไปได้อย่างมั่นคง และไกลกว่าการวิ่งอย่างสุดแรงแต่ไปได้ในระยะทางไม่ไกลนัก
บางคนอาจจะพยายามตัดสินชีวิตด้วยระยะเวลาสั้นๆ เช่นสามปีแล้วต้องเป็นผู้จัดการ สองปีต้องเลื่อนขั้น แต่จริงๆ ชีวิตของเราในบางครั้งอาจจะต้องการการให้เวลามากกว่านั้น ซึ่งพอเราไม่รีบร้อนเกินไป มันทำให้เราพอมีเวลาในการสำรวจอะไรหลายๆ อย่าง เช่นเดียวกับที่จะมองเห็นโอกาสต่างๆ มากกว่าการพยายามเร่งรัดบางจังหวะมากเกินไปนั่นแหละครับ
Yorumlar