top of page

Touchless Device คืออะไร? ทำไมนักการตลาดถึงควรสนใจ?

ถ้าพูดถึงยุคปัจจุบันแล้ว คงไม่แปลกถ้าเราจะบอกว่ามันคือยุค Mobile Device ที่การเข้ามาของ Smartphone ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทีนี้คำถามที่หลายๆ คนอยากรู้คือแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร?

แน่นอนว่าคงไม่มีใครให้คำตอบที่กล้าฟันธงกันได้ 100% แต่สิ่งที่นักการตลาดหลายๆ คนเริ่มมองเห็นเทรนด์คือการเกิดของสิ่งที่ชื่อว่า Touchless Device ที่กำลังแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ

อะไรคือ Touchless Device

ถ้าจะอธิบายกันง่ายๆ แล้ว มันก็คืออุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานไม่ต้อง “สัมผัส” มันนั่นเอง ซึ่งจะต่างจาก Mobile Device ที่ตอนนี้แม้ว่าจะอำนวยความสะดวกในการให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้จากที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ แต่ยังไงก็ยังต้องมีการ “สัมผัส” เพื่อใช้งาน เช่นการกดเลือกเมนูต่างๆ การเลื่อนหน้าจอ ฯลฯ

แต่ในขณะที่ Touchless Device นั้นจะทำงานต่างกันคือผู้ใช้งานนั้นไม่ต้องมีอะไรให้สัมผัส ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดในตอนนี้คือการที่ผู้ใช้งานสามารถ “สั่งงาน” ได้ผ่านการพูด หรือใช้เสียง (Voice Command) ได้เลย และตอนนี้ก็เริ่มผลิตภัณฑ์ออกมารองรับแพร่หลายมากขึ้นอย่าง Amazon Alexa / Google Home และที่เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายอย่าง Apple Homepod ไม่รับกับอีกหลากหลายยี่ห้อที่วางจำหน่ายไปแล้วด้วยอย่าง Xiaomi / Sony / LINE ที่มี Smart Speaker กันไปแล้ว

และนั่นยังไม่นับกับความสามารถ Voice Assistant ที่เราเห็นใน Smartphone / Computer กันแล้วอย่าง Google Assistant / Siri / Bixby (Samsung) / Contara (Microsoft)

แน่นอนว่าเริ่มต้นนั้น สินค้าประเภท Smart Speaker จะทำงานได้แค่เรื่องพื้นฐานอย่างการฟังเพลง แต่ตอนนี้เราก็จะเห็นว่ามีความสามารถอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาก อย่างเช่นการให้ค้นหาข้อมูลต่างๆ สั่งงาน Smart Home และอุปกรณ์อื่นๆ ฯลฯ

แล้วมันจะสำคัญอย่างไร?

ถ้าคิดกันง่ายๆ นั้น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเราเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมแทนที่จะเปิดมือถือหรือคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์หาข้อมูล แต่กลายเป็นการสั่งงานกับ AI ที่อยู่ใน Touchless Device เหล่านี้เพื่อหาข้อมูลหรือสั่งซื้อสินค้าต่างๆ อย่างที่ตอนนี้เราสามารถทำได้แล้วกับอุปกรณ์อย่าง Amazon Alexa หรือ Google Home



นั่นหมายความว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะกลายเป็น Search Engine และ Marketing Touchpoint อีกตัวหนึ่งในชีวิตของเราเลยก็ว่าได้ แถมถ้ามันเข้ามาในพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างการ Shopping ก็จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนอีกสำคัญของ E-Commerce เลยทีเดียว

  1. จากการพยาการณ์ของ Comscore บอกว่า Voice Search จะมีจำนวนมากกว่า 50% ของการ Search หาข้อมูลทั้งหมดในปี 2020

  2. จากการคาดการณ์ของ Forrester ระบุว่าจะมีมากกว่า 66.3 ล้านครอบครัวในสหรัฐฯ ที่มี Smart Speaker ในปี 2022

  1. ณ ปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าประชากรสหรัฐฯ กว่า 39 ล้านคนมี Smart Speaker แล้ว

ไม่ใช่แค่ Shopping แต่มันคือชีวิตแบบใหม่

ถ้าเราไปดูบรรดา “ความสามารถ” ของบรรดา Smart Speaker นี้แล้วจะเห็นว่านับวันมันก็จะยิ่งฉลาดขึ้นเรื่อย และทำให้คนจำนวนมากสามารถสั่งให้มันทำอะไรได้มากมาย อย่าง Amazon Alexa นั้นสามารถสั่งงานได้มากมายชนิดนับกันไม่ถ้วน เช่นเดียวกับฝั่งของ Google Assistant ที่เพิ่มจำนวนแอพรองรับการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วกับประเทศไทยล่ะ?

ถ้าว่ากันจริงๆ เราก็ต้องยอมรับว่าเรื่องการสั่งงานด้วยเสียงนั้นยังอาจจะเป็นเรื่องที่ใหม่มากสุดๆ สำหรับประเทศไทย เพราะเราเองก็ยังไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนี้เท่าไรนัก แถมการทำงานด้านภาษาไทยนั้นก็ยังดูจะเป็นปัญหาและไม่ค่อยเป็นที่คุ้นชินกับผู้บริโภคนัก ซึ่งก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ กว่าที่เราจะได้เห็นการใช้งานจริงๆ จังๆ ในประเทศสำหรับอุปกรณ์ประเภทนี้เพราะต้องมีอะไรหลายๆ อย่างพร้อมรองรับ (และก็คงไม่ใช่ในเร็วๆ นี้)

อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรจับตามองและเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากเรื่องของ Smart Home และ Smart Device นั้นก็อยู่ในช่วงกำลังเติบโตของตลาดในต่างประเทศ และเมื่อประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่พร้อมแล้วก็คงจะสามารถกลายเป็นตลาดที่เติบโตได้รวดเร็วไม่ต่างจากตอนที่เราเปิดรับ Smartphone อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั่นเอง

Comments


Me_Potrait.jpg

Nuttaputch Wongreanthong

An experienced marketer with a passion for understanding and exploring the latest trends

  • Facebook
  • Twitter
  • LinkedIn
  • Instagram

Subscribe

Thanks for submitting!

bottom of page