ปัญหาของนักการตลาด: ไม่อ่านหนังสือการตลาด
วันนี้ระหว่างนั่งตอบคอมเมนต์และกดไลค์เรื่องราวต่างๆ บน Facebook นั้น ผมก็ไปเจอสเตตัสหนึ่งจาก @sutirapan เข้าซึ่งค่อนข้างโดนใจทีเดียว โดยมีประโยคสำคัญตามชื่อบล็อกวันนี้นั่นแหละครับ และผมเลยต้องขออนุญาตเอามาเขียนเล่าเรื่องนี้ต่อเป็นบล็อกกันเลยทีเดียว
ถามว่าทำไมผมถึงโดนใจประโยคนี้มากเหรอครับ? เพราะมันน่าจะเป็นสิ่งที่ผมสังเกตจากประสบการณ์การทำงานมาในช่วงหลายๆ ปีในวงการการตลาดโดยเฉพาะช่วงสามสี่ปีหลังของการตลาดดิจิทัลที่ดูจะเข้มข้นเป็นพิเศษ ซึ่งสิ่งที่ผมมักจะสังเกตเห็นคือคนำจำนวนมากไม่ได้อัพเดทความรู้การตลาดตัวเองกับเทรนด์โลกที่กำลังขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ผมกังวลสำหรับคนในอุตสาหกรรมอยู่ไม่น้อย เพราะตอนนี้เราต้องยอมรับกันเสียทีว่าผู้บริโภคกำลังปรับตัวเองตามกระแสโลกไปอย่างรวดเร็วและหนังสือการตลาดที่เราเคยอ่านกันสมัยเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นอาจจะไม่สามารถนำมาใช้อธิบายหรือเป็นแบบแผนสำหรับการทำงานวันนี้ได้แล้ว มันเลยไม่แปลกที่ทุกวันนี้นักการตลาดเก่งๆ ถึงไล่ตามอ่านหนังสือที่อธิบายแง่คิดการตลาดใหม่ๆ การวิเคราะห์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล รวมไปถึงการท้าทายทฤษฏีการตลาดเดิมๆ เพื่อนำไปสู่ระดับของแนวคิดที่สูงขึ้นไปอีก
หนังสือพวกนี้มีมากมาย เช่น Groundswell, How Brands Grow, Advertising Transformed, Blue Ocean Strategy, Your Brand: Next Media Company, The Dentsu Way และอื่นๆ อีกมากมาย (ลองดูที่ผมมักจะรีวิวอยู่บ่อยๆ ได้ที่ rebook.in.th) ซึ่งถ้านักการตลาดขยันอ่านหนังสือพวกนี้กันแล้วจะพบว่าคุณอาจจะแทบไม่ต้องไปตามเทรนนิ่งอะไรเลยก็ได้เนื่องจากหนังสือพวกนี้ได้สรุปแก่นสำคัญของการตลาดยุคใหม่ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
ทุกวันนี้ ผมจะใช้เวลาในทุกๆ อาทิตย์กับการอ่านหนังสือการตลาด หรือหนังสือธุรกิจประมาณอาทิตย์ละเล่ม ทั้งนี้เพื่อพยายามเติมความรู้และมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอเพราะผมรู้ดีกว่าการตลาดวันนี้นั้นไปไวเสียเหลือเกิน อย่างเช่นถ้าเมื่อสักสองปีก่อนเราคงเห่อการพูดเรื่อง Social Media กัน แต่วันนี้พวกคนที่เป็น Thought Leader นั้นไปไกลกว่านั้นโดย Social Media ทุกวันนี้กลายเป็นส่วนย่อยๆ ในภาพใหญ่ของการตลาดดิจิทัลวันนี้ไปแล้วเพราะความสนใจกลายเป็นเรื่องของ Digital Customer Expericece Management, Big Data, Marketing Automation และอื่นๆ อีกมากมาย แม้แต่เรื่อง Content Marketing ที่ผมศึกษาและเขียนหนังสือมาแล้วนั้น ตอนนี้ก็มีการปรับตัวเองไปสู่มิติใหม่ๆ ที่ซับซ้อนไปกว่าเดิม
ว่ากันง่ายๆ ว่าขนาดผมอ่านของใหม่อยู่ตลอดเวลา ผมยังรู้สึกว่าหนังสือที่ผมอ่านเมื่อสองปีที่แล้วเริ่มล้าหลังและต้องหาหนังสือใหม่ๆ มาอ่านโดยไวเพราะกลัวจะตกขบวนรถไฟแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้เลย
ฟังๆ ดูก็น่าเป็นห่วงเมื่อหันมามองย้อนว่าคนจำนวนมากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับงานประจำของตัวเอง ส่วนวันหยุดก็ใช้เวลาในการ “คลายความเครียด” หรือ “พักผ่อน” จนไม่ได้มีเวลาในการเติมความรู้ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ยิ่งสำหรับนักการตลาดที่จะต้องอยู่กับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ด้วยแล้วนั้น การเข้าใจโลกยุคใหม่ การถอดรหัสโมเดลความคิดที่แตกต่างออกไปล้วนเป็นสิ่งสำคัญซึ่งมันคงไม่เข้าทีถ้าคุณจะรอเรียนใน Traning Class เพียงแค่ 3-6 ชั่วโมง
ผมมักพูดติดตลกบ่อยๆ เวลาไปบรรยายหรือสอนหนังสือว่าผมใช้เวลาสะสมความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งมุมมองต่างๆ กว่า 4-5 ปี ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะถ่ายทอดทั้งหมดให้คุณได้ครบถ้วนภายใน 3 ชั่วโมง ผมอ่านหนังสือไปหลายเล่ม ไหนจะอ่านบล็อกอีกมากมายมหาศาล และมันคงไม่สามารถย่อให้จบเหลืออยู่ใน Slide ไม่กี่แผ่น ฉะนั้นแล้ว ต่อให้ผมจะบรรยายและสอนอย่างเต็มที่แค่ไหน มันก็อาจจะไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่ผมรวบรวมมาตลอดหลายปี ฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณจะอยากเติมเต็มจริงๆ แล้วล่ะก็ มันคือการที่คุณต้องลงไปศึกษาและค้นคว้าด้วยตัวเองด้วย
ผมเขียนบล็อกเรื่องนี้แล้วก็อยากจะย้ำกันเสียหน่อย เพราะไม่ใช่แค่นักการตลาดเท่านั้น แต่รวมถึงคนอีกหลากหลายอาชีพที่อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นว่าควรขยันอัพเดทความรู้ของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งหนังสือเนี่ยแหละคือหัวใจสำคัญที่คุณควรให้ความสำคัญอย่างมาก
ลองดูสิครับ เดินไปร้านหนังสือใหญ่ๆ แล้วหาหนังสือดีๆ ในสายงานของคุณ เสียเงินไม่กี่ร้อยแล้วใช้เวลากับมัน ราคาหนังสือวันนี้ยังถูกกว่ามื้ออาหารบางมื้อของคุณเสียด้วยซ้ำ ลองหันมาเติมอาหารสมองให้คุณบ้างตั้งแต่วันนี้
ไม่อย่างนั้นแล้ว วันหนึ่งคุณอาจจะตามคนอื่นไม่ทันเอาได้ง่ายๆ นะครับ
Comentarios