รู้ไว้ใช่ว่า…
เห็นช่วงนี้หลายคนเริ่มออกมาพูดกันประเด็นทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยที่ต่ำต้อยเสียจนน่ากลัว แต่ก็มีเสียงที่ออกมาพูดทำนองว่าทำไมต้องแคร์กับภาษาอังกฤษด้วย ไม่เห็นจะจำเป็นอะไรเพราะเราก็ยังอยู่ในไทย ไม่คิดจะออกไปไหน บลา บลา บลา
ไอ้คำว่า “ไม่จำเป็น” นี่แหละที่ผมว่าทำให้หลายๆ คนสร้างกะลามาครอบหัวตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกว่าที่รู้ตัวนั้น ตัวเองก็สูญเสียโอกาสจำนวนมากไปแล้ว
ในชีวิตของผม ผมเจอคนมากมายที่เสียโอกาสการทำงานไปไม่น้อยเพียงเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือทักษะภาษาอังกฤษไม่ดี เช่นเดียวกับที่หลายๆ คนได้ดิบได้ดีทำงานบริษัทใหญ่โตก็เพราะใช้ข้อได้เปรียบด้านภาษา (เอาจริงๆ แล้ว ฝรั่งหรือคนต่างชาติก็ไม่ได้เก่งไปกว่าเราหรอกครับ หลายคนโง่กว่าคนไทยก็มี เพียงแต่เขาพูดภาษาที่เป็นสากลได้นั่นแหละ)
ที่พูดมาไม่ใช่ว่าจะยกภาษาอังกฤษขึ้นหิ้งอะไรหรอกนะครับ แต่อยากยกมันมาเป็นประเด็นให้คิดเสียหน่อยเกี่ยวกับการสร้างทักษะหรือการเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง ไม่มีใครในโลกที่เกิดมาแล้วเป็นอัจฉริยะหรือรู้ไปซะทุกอย่างในทันที หากแต่พวกเขาเกิดจากการสะสมและเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน มันก็เกิดจากการฝึกฝน เรียนรู้ และใช้งานมาเรื่อยๆ ผมเองก็ใช้ผิดใช้ถูกมาไม่น้อย แต่เพราะการได้ลองใช้นี่แหละทำให้ผมค่อยๆ รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ถ้านั่งอยู่เฉยๆ ก็คงจะไม่ช่วยให้รู้มากขึ้นไปกว่าเดิมได้เป็นแน่
แม้แต่เรื่องการเขียนเองก็ตาม ทุกวันนี้ที่ผมเขียนบล็อก เขียนโน่นเขียนนี่อยู่ตลอดเพราะมันคือการฝึกฝน ฝึกให้ผมได้ขัดเกลาทักษะการใช้ภาษาของผมไปเรื่อยๆ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก แต่แน่นอนว่าถ้าเอาไปเทียบกับสมัยที่ผมเริ่มเขียนบล็อกหรือเขียนบทความแรกๆ นั้น มันก็ต่างกันชนิดน่าตกใจไม่น้อย สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากการสะสมประสบการณ์และฝึกฝนแทบทั้งสิ้น
ความรู้ในสมองเราก็ไม่ต่างกัน มันค่อยๆ ถูกสะสมมาทีละเล็กทีละน้อย หลายๆ คนอาจจะมองว่าชีวิตทุกวันนี้ยุ่งพอแล้ว จะรู้อะไรนักหนาที่ “ไม่จำเป็น” ซึ่งพอคิดอย่างนี้ก็กลายเป็นว่าเราเลือกจะหยุดรู้ไปซะอย่างนั้น
ความสุขอย่างหนึ่งของผมคือการซื้อหนังสือ เพราะผมว่ามันคือการบริโภคความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าหนังสือบางเล่มอาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว แต่การอ่านมันก็ทำให้เราได้เห็นว่าคนอื่นมีวิธีการเรียบเรียงความคิดอย่างไร อะไรคือกลยุทธ์ของเขา มันก็ทำให้เรารู้และนำมาปรับใช้กับตัวเอง เช่นเดียวกับเรื่องบางเรื่องที่คนอาจจะมองว่าจะรู้ไปทำไม แต่ผมมองว่าสมองของเราก็ไม่ได้มีขีดจำกัดเรื่องความจำ มันเติมไปได้เรื่อยๆ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมก็เลือกที่จะเพิ่มมันไปเรื่อยๆ วันละนิดวันละหน่อย ทีละเล็กทีละน้อย
เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่าวันไหนมันจะจำเป็นและถูกนำมาใช้ประโยชน์
ให้ความรู้อยู่ในหัวมันก็ไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหนคุณจำเป็นต้องใช้แล้วคุณดันไม่รู้เนี่ยสิ คุณจะเสียดายอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
Comments