อย่าให้ความสำเร็จถูกขวางกั้นด้วยใบปริญญา
ในสังคมทุกวันนี้ คำถามที่ว่า “จบอะไรมา?” “เรียนที่ไหนมา?” มักเป็นคำถามที่เราได้ยินกันบ่อยๆ และหลายทีก็กลายเป็นการตัดสินคนแต่ละคนไปโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่น่ากลัวคือการตัดสินแบบนี้แหละที่ทำให้หลายๆ คนหยุดโอกาสและความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จอย่างน่าเสียดายอยู่ไม่น้อย
ทุกวันนี้ เวลาผมไปบรรยายให้กับบริษัทต่างๆ หรือไปพูดในเวทีสัมนาอะไร ผมจะเริ่มด้วยการแนะนำตัวว่าปัจจุบันผมทำอะไรบ้าง ซึ่งก็จะมีลิสต์บางส่วนตามด้านล่างนี้
Vice President, Head of Online Marketing ที่ dtac
เคยเป็น Associate Social Media Content Director ที่บริษัทเอเยนซี่โฆษณาออนไลน์อันดับต้นๆ
คนวางแผนหลักสูตร คนบรรยาย และให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลกับบริษัทต่างๆ
Trainer ด้านการตลาดดิจิทัลที่มีคอร์สสอนประจำทุกเดือน และงานบรรยายอีกไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 ครั้ง
โปรดิวเซอร์และพิธีกรรายการทีวีเกี่ยวกับด้านไอทีและเทคโนโลยี
เจ้าของบล็อก 6 บล็อก มีเนื้อหาตั้งแต่รีวิวหนัง ละครเวที แนะนำหนังสือ ข่าวสารไอที การตลาดดิจิทัล ฯลฯ หนึ่งในนั้นได้รับรางวัล Thailand Blog Award สาขา Entertainment Blog ในขณะที่บล็อก nuttaputch.com ติดอันดับ Top 10 ของ Business Blog ในปีล่าสุด ปัจจุบันมีคนตามร่วมแสน
คนเขียนหนังสือ Content Marketing เล่มแรกและเล่มเดียวในไทย ณ ตอนนี้
เขียนหนังสือพัฒนาตัวเอง “ไม่ต้องลาออกก็ประสบความสำเร็จได้”
เลขานุการชมรมวิจารณ์ศิลปะการแสดง (ประเทศไทย)
พอผมพูดจบหมด ผมก็มักจะถามคำถามสนุกๆ กับคนฟังว่าผมเรียนจบอะไร? โดยคำตอบที่ผมได้ยินมักจะเป็น “วิศวะ” “บัญชี” “บริหาร” “นิเทศ” เสียเป็นส่วนใหญ่
แต่พอผมเฉลยว่าผมเรียนจบคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาศิลปการละคร ก็ดูจะกลายเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับผู้ฟังอยู่เสมอๆ
ใช่ครับ ผมไม่เคยเรียนบริหารธุรกิจ ไม่เคยเรียนการตลาด สาขาที่ผมเรียนตลอด 4 ปีที่มหาวิทยาลัยคือเรียนการทำละครเวที เรียนวรรณกรรม ส่วนปริญญาโทของผมคือการจัดการวัฒนธรรมซึ่งหลายคนก็มักจะนึกไม่ออกว่าเรียนอะไร (ถ้าอธิบายง่ายๆ คือเรียนการบริหารจัดการศิลปะอย่างละครเวที พิพิธภัณฑ์ ท่องเที่ยว อะไรแบบนั้นแหละฮะ)
แต่ทุกวันนี้ผมได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษด้านการตลาด บรรยายเรื่องการตลาดให้กับคนที่ทำงานด้านการตลาด ได้เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของบริษัท รวมทั้งให้คำปรึกษาแก่ผู้บริหารหลายๆ คน
ทำไมผมถึงทำได้เหรอครับ? เพราะผมไม่เคยเชื่อและอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของใบปริญญาของผมน่ะสิ
ที่ผมบอกไปนั้น ไม่ใช่ปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิตที่ได้มานั้นไม่สำคัญหรอกนะครับ ในทางตรงกันข้าม แล้ว 4 ปีในมหาวิทยาลัยมีส่วนหล่อหลอมวิธีคิดให้กับผมเป็นอย่างมาก และนั่นทำให้ผมเข้าใจว่าใบปริญญาไม่ใช่กระดาษที่ตัดสินทักษะดัานอาชีพอย่างที่หลายๆ คนมักคิดกันว่าคนจะทำงานบริหารต้องเรียนบริหารมานะ คนทำการตลาดต้องเรียนการตลาดมานะ
จากประสบการณ์ผมแล้ว สิ่งที่สำคัญและทำให้เราประสบความสำเร็จซึ่งมาก่อนทักษะคือทัศนคติ ความคิด และความมุ่งมั่นของตัวเราเอง สามสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญให้เราสามารถพัฒนาทักษะของเราเองได้ในภายหลัง และอาจจะแซงหน้าหลายๆ คนที่เรียนมาตามหลักสูตรเสียอีก
อันที่จริงแล้ว อาชีพมากมายประเภทพนักงานออฟฟิศ (เว้นแต่อาชีพเฉพาะทาง) นั้นสามารถทำได้หากผู้ทำงานมีความเข้าใจในหลักและแก่นของตัวอาชีพนั้นๆ เช่นหลักวิธีการสื่อสารและเข้าใจผู้บริโภคสำหรับการตลาด หลักจิตวิทยาและวิธีคิดของพนักงานสำหรับการบริหารบุคคล ฯลฯ ฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณสามารถมองเห็นและเข้าใจแก่นเหล่านี้ได้ คุณก็สามารถจะมองเห็นกระบวนการ แนวคิด และวิธีการทำงานของงานเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้แล้ว ประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์ทำงานก็ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการที่จะเรียนรู้และสะสมเพื่อสามารถทำงานได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพ ผมมักสอนน้องๆ ของผมเสมอว่าอย่าดูถูกงานไม่ว่าจะงานเล็กงานน้อย เพราะคุณสามารถเรียนรู้และตักตวงจากมันได้ทั้งสิ้น แถมยิ่งถ้าคุณมีประสบการณ์และมุมมองที่หลากหลายแล้ว คุณก็ย่อมมีวัตถุดิบที่มากกว่าคนซึ่งไม่เคยได้ลองลงมือทำหรือสัมผัสงานนั้นๆ
ในชีวิตของผมนั้น ผมพบกับหลายๆ คนที่ไม่ได้เรียนจบบริหารธุรกิจ ไม่ได้เรียนการตลาด แต่ทุกวันนี้เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ มีลูกน้องมากมาย ซึ่งบทสนทนาที่พวกเขามักแลกเปลี่ยนกับผมคือการศึกษานั้นเป็นทุนบสำคัญอย่างหนึ่งก็จริง แต่การทำงานให้ประสบความสำเร็จไม่ได้จำเป็นต้องมีทุนประเภทเดียวเสมอไป ทุนประเภทอื่นที่ไม่ใช่ใบปริญญาหรือตำราเรียนในมหาวิทยาลัยก็อาจะมีค่าสูงไม่ได้แพ้ไปกว่ากันเลย
ฉะนั้นแล้ว แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีทุนในปริญญาก็จริง แต่ใช่ว่าอนาคตของคุณจะจบหรือไปต่อไม่ได้แต่อย่างใด หากอยู่ที่คุณจะหยิบฉวยโอกาสและตักตวงให้มันกลายเป็นทุนให้กับตัวคุณได้มากแค่ไหน
นอกจากนี้แล้ว น่าจะเป็นโชคดีของคนสมัยนี้ที่มีโอกาสสร้างทุนให้กับตัวเองได้หลากหลายและสะดวกกว่าสมัยก่อนเยอะ ทุกวันนี้เราสามารถหาข้อมูลและอ่านหนังสือมากมายจากโลกออนไลน์ คุณมีโอกาสได้เจอและได้ติดตามเหล่านักคิดหรือคนเก่งๆ จากทั่วโลกเพื่อเรียนรู้แนวคิดและวิธีการของพวกเขา เช่นเดียวกับที่คุณสามารถใช้พื้นที่ออนไลน์ในการสร้างทุนของตัวเองขึ้นมาอย่างบล็อกหรือ Facebook Page เป็นต้น
ฟังอาจจะเป็นเรื่องดูโม้ๆ แต่เอาจริงๆ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้หลายๆ คนประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นมาเป็นคนที่โดดเด่นในวงการ ผมเองก็ได้งานและเป็นที่รู้จักก็เพราะบล็อกที่ผมเขียนต่อเนื่องมาหลายปี ผมพบว่าลูกค้าหลายคนของผมนั้นเป็นผู้ติดตามอ่านบล็อกอยู่เสมอ และนั่นทำให้การพูดคุยในการทำงานร่วมกันนั้นง่ายกว่าเดิมเพราะเขามีความเชื่อใจในตัวผมมากเป็นพิเศษ
ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าความสำเร็จจะมาเมื่อไร แต่คนที่พยายามและขวนขายคือคนที่มีโอกาสจะได้เจอมันมากกว่าคนที่อยู่เฉยๆ แล้วรอให้มันมาตรงหน้า วิถีความสำเร็จในหน้าที่การงานก็ไม่ต่างกัน เราสามารถวิ่งเข้าหาและสร้างโอกาสให้กับตัวเองได้ถ้าเราเลือกจะทำ แน่นอนว่ามันต้องใช้เวลาและความอดทนอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าคุณไม่ท้อถอย คุณก็จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองได้ในวันหนึ่ง
อย่ายอมแพ้กับข้อจำกัดที่เราคิดกันว่าเป็นกฎมาตรฐาน เพราะในเกมชีวิตมันอาจจะมีวิธีหลายแบบที่จะไปถึงเป้าหมาย คุณอาจจะไม่ต้องเล่มตามกฎเดิมๆ ที่คนทั่วไปเล่น แต่เขียนกฎใหม่ๆ ที่คุณสามารถเล่นได้แถมอาจจะทำให้คุณแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆ เสียอีก
นั่นแหละครับ คือวิธีที่ทำให้ผมมาถึงวันนี้ได้
Comentarios