เรื่องที่เอเยนซี่ควรตอบ ลูกค้าควรรู้ เจ้าของเพจควรเข้าใจ เกี่ยวกับ Facebook Reach เหลือ 0%
หนึ่งในประเด็นการตลาดออนไลน์ที่ผมเห็นช่วงคนแชร์หรือพูดถึงกันเยอะๆ ก็คือเรื่อง Facebook จะตัด Organic Reach หรือที่หลายๆ คนไปพูดกันว่า Organic Reach จะเหลือ 0% จนหลายๆ คนเองก็เด้งมาถามผมหลังไมค์ว่าจริงไม่จริงอย่างไร Facebook จะไม่น่าใช้อีกต่อไปแล้วหรือเปล่า?
บล็อกนี้ ผมเลยขอลองอัพเดทข้อมูลต่างๆ แล้วมาตอบกันแบบให้เข้าใจกันง่ายๆ เสียหน่อยแล้วกันนะครับ
Facebook Reach ลดเหลือ 0% จริงหรือ?
ถ้าจะบอกว่า Facebook ลด Reach ไหม ก็ต้องตอบว่าจริง แต่ลดถึง 0% ไหม นั่นก็คงจะไม่จริง
ทีนี้เราก็ต้องมาเข้าใจก่อนว่าลด Reach ที่ว่านั้นเกิดจากอะไร จากคำอธิบายของ Facebook นั้นพอจะสรุปความกันง่ายๆ ว่า Facebook พยายามทำตัวเป็นคน “คัดกรอง” คอนเทนต์ที่น่าจะเหมาะและถูกใจผู้ใช้ให้ขึ้นมาแสดงบนหน้า News Feed ให้มากที่สุด เพราะ Facebook เองก็มองตัวเองเป็นเหมือนหนังสือพิมพ์ของแต่ละคนซึ่งจะมีการเลือกเนื้อหาที่น่าสนใจมาโชว์
ทีนี้ข้อจำกัดสำคัญคือแต่ละคนมีเวลาในการเล่น Facebook จำกัด เอาง่ายๆ คือมีเวลาใช้กับ News Feed จำกัด แต่ทุกวันนี้การสร้างคอนเทนต์จากบรรดาเพื่อนต่างๆ ของแต่ละคน รวมไปถึงบรรดาเพจต่างๆ ที่นับวันก็มีการกดไลค์กันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนั้น จำนวนคอนเทนต์ก็ย่อมมากกว่า “พื้นที่” ที่แต่ละคนมีบนหน้า News Feed นั่นเอง พอเป็นแบบนี้ก็เลยเกิดการต้องเบียดแย่งพื้นที่กันเป็นธรรมดา ซึ่ง Facebook ก็จะมีสูตรคำนวนว่าคอนเทนต์อันไหนที่น่าจะถูกนำมาแสดงมากกว่ากัน ซึ่งผลการแสดงของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน
กลับมาคำถามที่ว่าลดลงกี่ % อันนี้ไม่มีตัวเลขที่แน่นอน เพราะการจะบอกว่าลดเหลือกี่ % ของจำนวนแฟนก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่นก่อนหน้านี้สร้างฐานแฟนกันมาอย่างไร ใช่ไลค์ปลอมกันหรือไม่ ใช่คนที่อยากติดตามคอนเทนต์หรือเปล่า ฯลฯ ฉะนั้นจะไปฟันธงทันทีว่า Facebook ลด Reach ไปกี่ % ก็ไม่สามารถตอบกันตรงๆ ได้เสียทีเดียว ที่ทุกวันนี้พูดๆ กันนั้นก็เป็นการหา “ค่าเฉลี่ย” ซึ่งบางเพจก็อาจจะสูงกว่าค่าเฉลี่ย และบางเพจก็อาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้
แล้วมันจะเหลือ 0% หรือเปล่า?
อันนี้คิดว่าไม่จริง เพราะท้ายที่สุดเพจก็เป็นหนึ่งใน Content Creator สำคัญของโลก Facebook ซึ่งหลายๆ เพจเองก็สร้างฐานการติดตามและมีความนิยมกันไม่น้อย ถ้าจะให้ Reach ของเพจเหลือ 0% เลยก็อาจจะเรียกว่า Facebook กำลังฆ่าตัวตายให้คนเลิกใช้งานกันเลยก็ว่าได้ เพราะคอนเทนต์ดีๆ จำนวนมากก็จะไม่ปรากฏให้เห็นบน News Feed
แล้วเราจะทำอะไรกันได้บ้าง?
ถ้าเรามองแง่ของ Reach หรือที่บางคนอาจจะมองว่าคือ Awareness นั้น มันก็มีเทคนิคหลายวิธีในการที่จะใช้ Organic Reach ให้คุ้มค่าที่สุด เช่นการเลือก Content Format ที่มีโอกาสถูกเลือกนำมาแสดงและสร้างปฏิสัมพันธ์ได้ดีกว่า หรือการเลือกเวลาสำหรับโพสต์ (แน่นอนว่าการโพสต์ผิดช่วงเวลาก็ได้ Reach คนละเรื่องด้วยเช่นกัน)
การทำ Reach Optimization จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่คนทำเพจควรเรียนรู้และเข้าใจ ซึ่งก็มีทั้งแบบ Organic Optimization และ Paid Optimization ซึ่งที่เรามักบอกว่าการซื้อโฆษณานั่นแหละ โดยแม้ว่าหลายๆ คนอาจจะบ่นว่า Facebook บีบให้คนซื้อโฆษณา แต่ถึงกระนั้นถ้าเราฉลาดใช้โฆษณานั้นให้เป็นประโยชน์แล้ว มันก็อาจจะสร้างผลที่ “คุ้มค่า” ยิ่งเสียกว่าการใช้ Organic Reach เสียอีก
และมันก็ไม่ใช่เรื่อง Reach อย่างเดียว
เวลาคนพูดเรื่องนี้ทีไร ผมก็ยังพูดเสมอว่าอย่าสนใจเรื่อง Reach จนลืมมองว่าแก่นแท้ของการทำ Communication นั้นคือ Content ที่คนเสพ เพราะต่อให้คุณทำซื้อ Boost Post กันขนาดไหน แต่ถ้า Content ของคุณไม่โดน มันก็อาจจะไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลยก็ได้
ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะก้มหน้าก้มตาสนแต่ Reach / Awareness แต่คุณต้องดูด้วยว่า Content ของคุณที่เอาไปโพสต์นั้นควรที่จะอยู่บน News Feed หรือเปล่า ต่อให้มัน Reach เยอะแต่ไม่สามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดได้ มันก็อาจจะไม่มีประโยชน์อยู่ดี
เราจะทำอะไรกันต่อไป?
ผมมักพูดขำๆ ว่าต่อให้บ่นกันขนาดไหน ท้ายที่สุดเราเองก็ยังต้องใช้ Facebook กันต่อไป เพราะตอนนี้มันคือแพลตฟอร์มที่คนใช้เยอะที่สุด ฉะนั้นเราจึงควรลองปรับตัวและปรับกลยุทธ์เพื่อที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลงนี้ให้ได้มากขึ้น
พอมาถึงตรงนี้ ผมก็มักลองยกประเด็นต่างๆ ที่น่าคิดสำหรับคนเจ้าของเพจ เช่น
ถึงเวลาที่เราต้อง “ลงทุน” ในการโปรโมตคอนเทนต์หรือยัง?
เรามีการทำ Content Optimization กันหรือยัง?
ถ้าจะใช้ Social Media อื่นๆ ด้วยนั้น จะเอามา “เสริม” หรือมา “แทนที่” เรามีคำตอบที่ดีพอหรือไม่ เพราะการเปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่นอาจจะเจอปัญหาที่หนักกว่าก็ได้
เราวางกลยุทธ์ Facebook ไว้อย่างละเอียดรอบคอบแล้วหรือยัง?
และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย ที่ผมชวนให้คิดเรื่องของการ “วางแผน” นั่นแหละครับ :)
Comments