โนบุ…ลูกชายของผม…ในความทรงจำของผม
ผมเจอโนบุในงานเกษตรแฟร์ปี 2547 หลังจากที่ต้องเสียฮาบุ กระต่ายตัวแรกที่เลี้ยงไป จะว่าไปแล้ว ลูกกระต่ายที่ขายในงานเกษตรแฟร์ซึ่งตัวเล็กๆ น่ารักๆ นั้น จะเป็นลูกกระต่ายที่เสี่ยงตายอยู่เสียหน่อยเนื่องจากเจ้าของปั้มออกมาแล้วเน้นขายจำนวนเยอะๆ ความเป็นอยู่ของกระต่ายในร้านเลยไม่ต่างจากสลัมกระต่ายเท่าไรนัก
จากประสบการณ์การเสียฮาบุไป ทำให้ผมหยุดสนใจกระต่ายที่หน้าตาดี แต่สนใจกระต่ายที่ดูแข็งแรง และด้วยเหตุบังเอิญอะไรก็ไม่แน่ใจ โนบุเป็นกระต่ายตัวที่ขะมักเขม้นกินหญ้าแห้งอย่างเอร็ดอร่อย และกลายเป็นจุดสนใจของผม
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่โนบุเข้ามาอยู่ในบ้านของผม
ชีวิตในวัยเด็กของโนบุนั้น เป็นวัยเด็กที่ซนเอาเริื่องเพราะโนบุกัดแทะอะไรไปทั่ว รีโมททีวีที่เพิ่งซื้อมาก็โดนโนบุแทะ แถมโนบุยังเที่ยวฉี่และถ่ายไปเสียทุกที่ เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ถูกมันกระโดดขึ้นไปฉี่อยู่บ่อยๆ จนต้องจับขังกรงทุกคืน (แต่แม่ก็จะแอบใจดีปล่อยให้มันไปฉี่ตามประสา) แต่ก็ด้วยการโตมาจากร้านขายกระต่ายที่ไม่ได้เพาะมาอย่างถูกสุขลักษณะ โนบุในวัยเด็กก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเนื่องจากเป็นโรคเรื้อนแถมติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ต้องพาตุเลงๆ ไปหาหมอที่สัตวแพทย์บางโพ (ซึ่งกลายเป็นที่รักษาโนบุตลอดชีวิตของมัน)
หลังจากที่เฉียดตายมาได้ โนบุก็กลายเป็นที่รักของบ้าน เป็นกระต่ายที่คนในบ้านพูดคุยกับมันแม้แต่กับพ่อซึ่งปรกติจะไม่ค่อยคุยอะไรกับใครนักก็ยังพูดคุยกับโนบุบ้างเป็นครั้งครา โนบุมีบ้านหลังใหญ่ (มาก) เมื่อเทียบกับตัวมันในตอนนั้นซึ่งเล็กจิ๋วเดียวพร้อมกับอาหารมากมายที่แม่ขุนมันอย่างดี
ผมเอง มักจะนั่งทำงานอยู่ในห้องในขณะที่ว่างๆ จะลงมานั่งเล่นและคุยกับโนบุเป็นระยะๆ พอช่วงที่บ้านของโนบุต้องย้ายไปชั้นสองเนื่องจากมีการปรับปรุงชั้น 1 ผมก็จะแวะแกล้งโนบุทุกครั้งก่อนเข้าห้องทำงาน บ้างก็ออกมานั่งปรับทุกข์คุยไปเรื่อยเปื่อยซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะฟังอะไรผมเท่าไรนักหรอก ^^”
ในมุมหนึ่งแล้ว โนบุเป็นกระต่ายที่ค่อนข้างเอาแต่ใจอยู่เสียหน่อย จริงอยู่ว่ามันมีชื่อว่าโนบุ แต่มันก็ไม่เคยหันหรือวิ่งมาหาคนที่เรียกเลยสักครั้งเดียว เหมือนมันปฏิเสธชื่อนี้มาตลอดชีวิตของมัน (แต่ผมและแม่ก็ไม่เคยคิดจะเรียกชื่ออื่นให้มันอยู่ดี) วิธีเดียวที่จะเรียกมันได้คือการเคาะจานข้าวหรือตักอาหารใส่ถาด ซึ่งมันจะกระโดดมาหาอย่างระริกระรี้เลยทีเดียวเชียว
ในชีวิตของโนบุนั้น เขาผ่านประสบการณ์มากมายในบ้านหลังนี้รวมทั้งชีวิตของผมเองที่ต้องระหกระเหินอยู่ในระหว่าง 8 ปีที่แล้ว ทั้งในเรื่องความรักและหน้าที่การงาน ซึ่งมันก็ทำหน้าที่เป็นศิลาณีและเพื่อนคุยยามดึกของผมอยู่เสมอๆ มีช่วงที่ผมต้องออกจากบ้านไปสองปีกว่า มันก็ยังอยู่บ้านโดยมีแม่เป็นคนเลี้ยงดูอย่างดี
พี่บอลพูดไว้ว่าโนบุเป็นกระต่ายที่เอาแต่ใจตัวเอง ซน และดื้อเอามากๆ ซึ่งก็มีส่วนจริงเพราะมันไม่ยอมกินอาหารไม่ดี ขนาดใบกะเพราไปให้มันแล้วไม่ใช่กะเพราดีๆ มันก็จะเตะถาดแล้วเมินเฉย ถ้าแม่เอาน้ำผลไม้ให้มันกิน มันก็จะเลือกกินเฉพาะน้ำผลไม้ดีๆ เท่านั้น จนแม่ผมเรียกมันบ่อยๆ ว่า “คุณชาย” เพราะทุกคนแทบจะต้องประคบประหงมมันอยู่บ่อยๆ แถมนานๆ เข้ามันก็ตีตนเสมอเจ้าที่ ถือเอาศาลเจ้าที่เป็นที่นอนมันอยู่ประจำ
แต่ก็นั่นแหละ โนบุเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรามาตลอดหลายปี แม้ว่าเรื่องราวในบ้านจะมีท้ั้งความสุข ความเศร้า ช่วงเวลาที่ยิ้มแย้ม และช่วงเวลาที่มีปัญหา โนบุก็เป็นกระต่ายที่นั่งเฝ้ามองสี่ชีวิตในบ้านโดยไม่พูดไม่จา และมันก็ทำให้หลายๆ คนได้ยิ้มแย้มหรือรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่กลับมาเห็นมันนอนเฝ้าอยู่ที่ตีนบันไดชั้นหนึ่ง
ผมไม่แน่ใจว่าโนบุรู้สึกอะไรกับคนในบ้านมากแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วผมว่ามันก็จำพวกเราและแอบอยากติดต่อกับพวกเราอยู่บ่อยๆ จำได้ว่าช่วงที่น้ำท่วมและต้องอยู่บ้านคนเดียวกับโนบุ ทุกคืนผมจะได้ยินเสียงแกร่กๆ มาที่หน้าห้องทำงานชั้น 2 ซึ่งพอเปิดประตูไปก็จะเห็นโนบุนั่งจ้องหน้าผมอยู่ แต่สิ่งที่แปลกคือโนบุจะไม่ยอมเข้าห้อง พออุ้มเข้ามาได้แป๊ปเดียวก็จะกระโดดกลับไปนอนที่กรงดังเดิม (แต่ช่วงหนุ่มๆ ของโนบุนั้นซนขนาดขึ้นไปนอนบนเตียงชั้นสามมาแล้ว)
ตัวโนบุเองนั้น เป็นกระต่ายพันธุ์ทาง เรียกเอาได้ว่าเจ้าของร้านผสมพันธุ์แบบไหนก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ มันเลยมีขนฟูพอสมควร แต่ถึงกระนั้น โนบุถือเป็นกระต่ายที่ค่อนข้างขี้เหร่อยู่เสียหน่อยเพราะขนของมันมีส่วนผสมของสีขาวและสีน้ำตาล แถมก็เป็นเหมือนลายด่างที่ดูไม่ได้สวยงามเลยแม้แต่น้อย
นอกจากเป็นพันธุ์ทางแล้ว ผมได้มารู้ทีหลังว่าโนบุเป็นกระต่ายพันธุ์ด้อยเสียด้วย เนื่องจากช่วงหนึ่งโนบุไม่ยอมกินข้าวจนพวกเราเป็นห่วง พอพาไปหาหมอเลยได้ความว่าฟันหน้าของมันยาวและไม่ขบกัน ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของกระต่ายที่มียีนด้อย ตามธรรมชาติแล้ว กระต่ายแบบนี้จะตายเร็วเนื่องจากท้ายที่สุดก็จะกินอาหารไม่ได้ อ่อนเพลีย และตกเป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ไป
ฉะนั้นแล้ว โนบุเองก็ถือเป็นกระต่ายที่น่าสงสารกับชาติกำเนิดมันอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรเสีย ในมุมหนึ่ง ผมเชื่อว่าโนบุเป็นกระต่ายด้อยที่มีบุญมากๆ ที่ได้มาอยู่ในบ้านเรา เพราะแม่ดูแลโนบุอย่างดี พาไปหาหมอเพื่อตัดฟันและฉีดยาบำรุงอยู่เสมอๆ (ซึ่งหมอก็รักมันมากเหมือนกัน) และที่สุดแล้ว โนบุก็แข็งแรงมีอายุมากกว่ากระต่ายทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ
แต่แม้ว่าจะอายุมากกว่าปรกติแค่ไหน โนบุก็เป็นกระต่ายที่ไม่สามารถจะอายุยืนพิเศษไปได้ ในช่วงสองปีหลัง เราก็เริ่มเห็นอาการป่วยของโนบุบ่อยขึ้น เริ่มเห็นการติดเชื้อที่ผิวหนังบ่อยทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น แต่กระนั้น โนบุก็ยังพยายามจะกระโดดไปไหนมาไหนด้วยความซนอยู่
จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นว่าโนบุไม่ยอมขยับ เอาแต่นอนอย่างเดียวจนผิดสังเกต แรกๆ เราก็เข้าใจว่าโนบุอายุมากแล้วเลยอยากนอนพัก แต่ด้วยสังหรณ์บางอย่าง แม่เลยพาไปหาหมอแล้วพบว่ามันเป็นฝีที่ขาเม็ดใหญ่ จนมันไม่สามารถขยับขาได้
แม้ว่าเราจะฉีดยาและรักษาจนฝีหายไป แต่โนบุก็ไม่สามารถเดินให้เราเห็นได้อีกแล้ว
หลังจากวันนั้น โนบุก็กลายเป็นคนป่วยที่นอนอยู่กับที่ แต่ก็ยังพยายามลุกขึ้นมามองทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมา หรือพยายามตะกุยตัวเองไปที่จานข้าวตรงหน้าซึ่งมันก็ยังกินจุอยู่เหมือนเดิม
แม่บอกมันทุกวันว่าไม่ต้องห่วง เราจะดูแลอย่างดีจนวันสุดท้าย
—————————————————————————-
วันที่ 16 มกราคม 2556 : 19.00 น.
พี่บอลเด้ง FB Msg มาในตอนเย็นว่าให้กลับบ้านด่วน โนบุอาการไม่ดีมากๆ ให้โทรหาแม่
หลังจากโทรหาแม่ แม่บอกว่าวันนี้โนบุไม่กินข้าวแล้ว ตอนนี้นอนเหนื่อยอย่างอ่อนแรง คิดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก
ผมฟังข่าวนั้นระหว่างนั่งกินข้าวกับชิง วางสายและไม่พูดอะไรออกมานอกจากนิ่งเงียบ
จริงๆ ผมเตรียมใจเรื่องโนบุมาอยู่นาน เพราะหมอเคยบอกแล้วว่าไม่น่าจะเกินปีนี้ อีกทั้งเมื่อปลายปีมันก็เคยป่วยหนักจนหมอให้ทำใจแล้ว แต่เมื่อมันมาถึงจริงๆ ผมก็พูดอะไรไม่ออก
คืนนั้นผมต้องไปดูหนังรอบสื่อมวลชนแม้ว่าใจจริงอยากจะกลับบ้านไปหาโนบุเร็วๆ แต่ด้วยภาระหน้าที่ซึ่งต้องเกี่ยวกับคนอื่นด้วยทำให้ต้องดูหนังจนจบเสียก่อน
ผมกลับถึงบ้านตอน 23.45 น. สิ่งแรกที่ผมทำคือมาหาลูกชายของผมซึ่งตอนนี้นอนโรยแรงอยู่บนศาลเจ้าที่ซึ่งเป็นที่นอนประจำของมัน (แม่ให้มันมานอนในห้องเพราะอยากให้มันอยู่ใกล้ๆ)
ผมจำไม่ได้ว่าผมอุ้มโนบุครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่คืนนั้นผมอุ้มเขามากอดอีกครั้ง โนบุเหมือนตื่นและขยับหัวมามองหน้าผม เราสองคนจ้องหน้ากันอยู่เงียบๆ สักพัก ก่อนที่ผมจะพูดกับเขาอย่างเบาๆ
“ขอบคุณนะลูกที่อยู่กับพ่อมาหลายปี ขอโทษที่พ่ออาจจะดูแลไม่ดีมากนัก แต่พ่อรักลูกมากนะ พักผ่อนให้สบายนะครับ”
ผมพูดพร้อมกับดึงเขาเข้ามากอดแน่นๆ โนบุจ้องมาทางผมนิ่งๆ ซึ่งเป็นเหมือนสิ่งเดียวที่มันทำได้ ณ ตอนนั้นแล้ว
ผมพาโนบุกลับไปนอนที่เดิมโดยในใจรู้ดีว่าเขาจะอยู่กับผมได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น
คืนนั้นผมทำงานเสร็จตอนตีหนึ่งครึ่ง ลงมาเข้าห้องน้ำและแอบดูว่าลูกชายของผมหลับสนิทไหม ตอนนั้นเขาหลับอยู่ ผมจึงเอาผ้าขนหนูห่มให้เขาเผื่อที่เขาจะหนาวเกินไป
—————————————————————————-
ตีห้า ระหว่างที่ผมกำลังนอน แม่เปิดไฟห้องนอนขึ้นมาทั้งที่ปรกติแม่ไม่เคยทำ
ผมรู้ทันทีว่านั่นหมายถึงอะไร
ผมตื่นขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือแม่อุ้มโนบุมาหาผม
โนบุจากพวกเราไปแล้ว ตอนนี้มันนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดแม่
แม่พูดด้วยเสียงสั่นเครือนิดๆ ว่า “เขาไปแล้วนะ”
ผมไม่พูดอะไร ลูบร่างของโนบุเบาๆ พร้อมพูดในใจ
“หลับให้สบายนะลูก”
จากนั้นแม่ก็เอาร่างโนบุใส่ตะกร้าเพื่อให้พ่อพาไปฝังไว้ที่โรงเรียน ซึ่งพ่อบอกว่าโนบุจะได้มีเพื่อนเยอะๆ ไม่ต้องเหงา
ก่อนพาไป แม่เอาพวงมาลัยให้โนบุสอดขาไปด้วย
“ไปหาหลวงปู่นะโนบุ ไปอยู่กับหลวงปู่นะ” (หลวงปู่ซึ่งเป็นพระที่ครอบครัวผมเคารพ และเป็นพระอุปัชฌายะให้ผม ท่านมรณะภาพไปอย่างกระทันหันเมื่อปีที่แล้ว)
แม่บอกโนบุด้วยเสียงที่สั่นเครือโดยที่ผมนั่งนิ่งๆ พยายามสะกดกลั้นทุกอย่างไว้
แล้วพ่อก็พาโนบุออกจากบ้านไปโดยแม่ยืนส่งอยู่ที่หน้าประตูพร้อมบอกพ่อต่างๆ นานาว่าให้ฝังมันอย่างดีที่สุด
โนบุผู้แทบไม่เคยออกจากบ้านหลังนี้ยกเว้นแต่ต้องไปหาหมอ ก็ได้ออกจากบ้านครั้งสุดท้ายโดยไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว
ผมขึ้นมาบนห้อง อยู่เงียบๆ ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาไม่หยุด
ในห้องเงียบๆ ผมนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
—————————————————————————-
พี่บอลบอกผมไว้ก่อนว่าโนบุอาจจะรอผมอยู่เลยไม่ยอมไป
ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเรื่องจริงไหม แต่ผมก็โชคดีที่ได้กลับไปหามันในคืนสุดท้าย แต่ก็แอบเสียใจว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยและได้กอดมัน
และเหมือนโนบุก็จะรู้ว่าต้องไปเมื่อใด โนบุไปในตอนรุ่งเช้าที่พ่อกำลังออกจากบ้าน ในเช้าที่ทุกคนอยู่ที่บ้าน
ให้พวกเราได้ส่งโนบุกันทุกคน
—————————————————————————-
ในหนังเรื่อง Departures นั้น มีตอนหนึ่งที่ตัวละครพูดถึงความตายไว้อย่างน่าคิด
ความตายก็เหมือนประตู มันไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่มันเป็นพาเราจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง และเราก็แค่ก้าวข้ามมันไป ซึ่งเราก็ได้แต่บอกพวกเขา (คนตาย) ว่า “ไปดีมาดีนะ” “แล้วเจอกันอีกนะ”
โนบุอยู่กับพวกเรามา 8 ปีกว่า มันอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ในบ้านของเรา แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของเรามาโดยตลอด ก่อนที่ผมจะรู้ตัว โนบุไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของพวกเรา แต่เขาคือสมาชิกของบ้านเราไปแล้ว
ขอบคุณนะลูก ขอบคุณที่อยู่กับพวกเรามาโดยตลอด ลูกคือส่วนหนึ่งในความทรงจำของพวกเรา และมันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป วันนี้ลูกแค่จากเราไปเพื่อไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเท่านั้น
หลับให้สบายนะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรานะ พวกเราจะยังรักและคิดถึงลูกเสมอ
“ไปดีมาดีนะ”
“แล้วเจอกันอีกนะ”
รักลูกมาก
พ่อ
17 มกราคม 2556
ความคิดเห็น